ความกลัวการตกงานเพราะ AI พุ่งสูง: นักลงทุนควรรับมืออย่างไร? 

2025-06-06 | AI , การว่างงาน , ตลาดหุ้น , พลวัตของตลาด , สรุปตลาดประจำสัปดาห์

ตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มเป็นนักลงทุนหรือเรียนรู้ทักษะการเทรด เพราะเมื่อ AI เริ่มเข้ามาแทนที่แรงงาน คุณจะต้องมีทักษะในการสร้างรายได้ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่แค่เทรนด์เทคโนโลยีสุดล้ำอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อการจ้างงาน และมันกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

คำเตือนล่าสุดเกี่ยวกับการตกงานเพราะ AI เริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวัน 

ซีอีโอของ Anthropic กล่าวว่าปัญญาประดิษฐ์อาจเข้ามาแทนที่งานระดับปฏิบัติการในสายออฟฟิศมากถึงครึ่งหนึ่ง และ อาจทำให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึง 10 ถึง 20% ภายในเวลาเพียงง 5 ปี 

นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแบบปกติ แต่มันคือคลื่นเศรษฐกิจที่กำลังสั่นสะเทือนวงการแรงงาน แล้วนักลงทุนควรรับมืออย่างไร? 

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงสมาร์ทโฟน นวัตกรรมล้วนเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเราอยู่เสมอ แต่สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือ “ความเร็วในการเปลี่ยนแปลง” 

AI ไม่ได้แค่ทำงานแทนมนุษย์ แต่มัน “เรียนรู้” ปรับตัว และขยายขีดความสามารถได้อย่างไม่มีวันเหนื่อยล้า และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริงต่อแรงงานจำนวนมากในตลาด 

ดร. เดวิด แดงค์ กล่าวตรงไปตรงมาว่า 
หากภาคเศรษฐกิจทั้งระบบล่มสลาย คุณจะเห็นอัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียงสองเดือน นี่ไม่ใช่สิ่งที่โลกเคยเผชิญมาก่อน และเราจะไม่มีเวลาพอในการปรับตัว 

อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้วในตอนนี้ ได้แก่ งานบริการลูกค้า งานป้อนข้อมูล งานด้านกฎหมาย การวิเคราะห์การเงิน สื่อ และการผลิตคอนเทนต์ 

ภัยคุกคามจาก AI ไม่ได้อยู่ในเชิงทฤษฎีอีกต่อไป เพราะบริษัทจำนวนมากเริ่มลดจำนวนพนักงานอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะขาดทุน แต่เพราะ AI ช่วยให้การดำเนินงานของพวกเขาทำได้เร็วขึ้นและประหยัดต้นทุนมากขึ้น 

การนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ กำลังนำไปสู่การลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่ง การปลดพนักงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในวิธีที่องค์กรใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งมักแลกมาด้วยการลดบทบาทของแรงงานมนุษย์ 

Microsoft เพิ่งปลดพนักงานไปมากกว่า 6,000 คน รวมถึงวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้จัดการโครงการ เพื่อปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับการมุ่งเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐานของ AI 

LinkedIn ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Microsoft ประกาศปลดพนักงาน 281 คน ในแคลิฟอร์เนีย โดยส่วนใหญ่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้เชี่ยวชาญด้าน machine learning 

Dell Technologies ลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 12,000 ตำแหน่ง จากเดิม 120,000 เหลือ 108,000 คน เพื่อปรับองค์กรเข้าสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

Workday บริษัทด้านซอฟต์แวร์บริหารทรัพยากรบุคคล ปลดพนักงาน 1,750 คน หรือประมาณ 8.5 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งหมด เพื่อเพิ่มการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนเทรนด์ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อบริษัทหันมาใช้เทคโนโลยี AI มากขึ้น พวกเขาก็มักจะปรับโครงสร้างองค์กร ลดตำแหน่งบางส่วน ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่ในสายงานอื่น 

สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงนี้คือทั้งความท้าทายและโอกาส พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และปรับตัวให้ทันกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 

ในอดีต เมื่ออัตราการว่างงานทะลุระดับ 5 เปอร์เซ็นต์ มักถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนต่อตลาด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะการมีตำแหน่งงานน้อยลงหมายถึง: 

  • การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง 
  • การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว 
  • กำไรของบริษัทลดลง 
  • และท้ายที่สุด อาจนำไปสู่การปรับฐานของตลาดหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

หาก AI เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการจ้างงานครั้งใหญ่ เราอาจได้เห็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และนี่คือประเภทของเหตุการณ์ที่ตลาดจะรีบสะท้อนราคาทันที 

ดังนั้น แม้ดัชนีตลาดหุ้นในปัจจุบันจะยังคงพุ่งสูงจากกระแสความหวังเรื่องนวัตกรรม แต่ก็อย่าแปลกใจหากจำนวนผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ว่างงานจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เขย่าตลาดรอบต่อไป 

ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังจับตาดูตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด หากอัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าเฟดมีแนวโน้มจะเข้ามาแทรกแซง 

เช่นเดียวกับในปี 2020 มาตรการที่เฟดน่าจะเลือกใช้มีดังนี้: 

  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 
  • การอัดฉีดสภาพคล่องในลักษณะ QE 
  • มาตรการสนับสนุนทางการคลัง 

สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ความย้อนแย้ง: เศรษฐกิจอ่อนแอแต่ตลาดหุ้นกลับฟื้นตัว หรือแม้แต่พุ่งแรงด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

นี่คือภาพที่คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด ตลาดฟื้นตัวก่อนที่เศรษฐกิจจริงจะฟื้นตาม 

ดังนั้น แม้การว่างงานที่เกิดจาก AI จะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนที่มองการณ์ไกลเช่นกัน 

แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องการจ้างงาน แต่ AI ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก สำหรับบริษัทที่ปรับใช้เทคโนโลยีนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ กำไรขั้นต้นอาจ เพิ่มขึ้น ความเร็วในการดำเนินงานสูงขึ้น และต้นทุนลดลง 

สิ่งนี้อาจส่งผลเชิงบวกต่อ: 

  • หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 
  • ผู้ให้บริการคลาวด์ 
  • ผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia และ AMD 
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของ AI 
  • บริษัทซอฟต์แวร์บางแห่งที่คัดเลือกแล้ว 

สิ่งสำคัญคือการมองหาบริษัทที่ใช้ AI เพื่อเติบโต ไม่ใช่แค่เพื่อลดต้นทุนเท่านั้น 

ไม่ใช่เวลาที่จะตื่นตระหนก แต่เป็นเวลาที่ควรปรับตัว 

งานบางประเภทจะหายไป แต่ก็จะมีงานใหม่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น: 

  • ผู้ฝึกสอน AI 
  • วิศวกรพัฒนา Prompt 
  • เจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงและจริยธรรมด้าน AI 
  • ที่ปรึกษาด้านระบบอัตโนมัติ 

อย่างไรก็ตาม จะมีช่องว่างระหว่างการสูญเสียงานเดิมกับการสร้างงานใหม่ และนั่นคือจุดที่ความเสี่ยงด้านสังคมและเศรษฐกิจสูงที่สุด 

รัฐบาลและภาคธุรกิจต้องหยุดเพิกเฉยต่อภัยคุกคามนี้ และเริ่มลงทุนในโครงการฝึกอบรมและการปรับตัวตั้งแต่วันนี้ 

ในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ หน้าที่ของคุณคือการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม 

หากการว่างงานจำนวนมากกลายเป็นประเด็นหลักของทศวรรษหน้า ผู้เล่นในตลาดที่พร้อมที่สุดจะเป็นกลุ่มที่: 

  • เข้าใจการเปลี่ยนแปลงเชิงมหภาค 
  • ตามเงินให้ทัน (ไปยังผู้ชนะจาก AI) 
  • ป้องกันความผันผวนไว้ล่วงหน้า 
  • ยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน 

สรุปคือ: ไม่จำเป็นต้องกลัวการว่างงานจาก AI แค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้น 

การว่างงานจาก AI ไม่ใช่ฉากในหนังไซไฟอีกต่อไป แต่มันคือความจริงที่ใกล้เข้ามาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ และพอร์ตของคุณ 

แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมแฝงโอกาสไว้เสมอ 

ตลาดจะปรับตัว ผู้นำหน้าใหม่จะเกิดขึ้น และนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์จะใช้ช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพื่อแตกตื่น แต่เพื่อวางตำแหน่งให้ตัวเองนำหน้าเกม 

ตอนนี้คือเวลาที่ต้องเสริมทักษะ อัปเดตข้อมูล และควบคุมอนาคตทางการเงินของตัวเองไว้ให้ได้ 

เพราะแม้ว่า AI อาจแย่งงานไปจากคุณ แต่มันแย่งความได้เปรียบของคุณไม่ได้ เว้นแต่คุณจะยอมปล่อยให้มันทำ 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-06-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

โลหะเงินแตะจุดสูงสุดรอบ 13 ปี: เป้าหมายต่อไป $50? 

ราคาทองคำขยับก่อน แต่ซิลเวอร์ขยับเร็ว  ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว ราคาซิลเวอร์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 11.1% และตอนนี้กำลังซื้อขายที่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี จนกลายเป็นที่จับตามองของตลาด ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักเทรดสายเก็งกำไร ทุกคนต่างจับตาดูระดับราคาที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ช่วงพีคของปี 2554  สิ่งที่นักเทรดอยากรู้คือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของการเบรกทะลุครั้งประวัติศาสตร์ใช่ไหม? หรือแค่เป็นอีกหนึ่งรอบที่ราคาจะ ไปไม่สุดแล้วอ่อนตัวลง ที่แนวต้านอีกครั้ง?  ทำไมการพุ่งขึ้นของซิลเวอร์รอบนี้ถึงสำคัญ  ท่ามกลางกระแสข่าวครึกโครมของ AI และคริปโต ความแข็งแกร่งของซิลเวอร์กำลังบอกสัญญาณบางอย่างที่ลึกกว่านั้น  ในอดีต ซิลเวอร์เคยเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่า เช่นเดียวกับทองคำ เป็นโลหะที่มีการใช้ในอุตสาหกรรม และยังเป็น เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อซิลเวอร์เคลื่อนไหว มันไม่ได้ขยับเบา ๆ  หากย้อนไปปี 2554 ราคาซิลเวอร์พุ่งจาก $35 ไปเกือบ $50 ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ หรือคิดเป็นการขยับขึ้นกว่า 40% ในไม่ถึงสองเดือน เป็นรอบที่พุ่งแรงและรวดเร็วจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว และความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัย  วันนี้เรากำลังเห็นรูปแบบที่คล้ายกันอีกครั้ง  และซิลเวอร์ก็กำลังตอบรับต่อสัญญาณนั้น  กราฟ 50 ปีที่เล่าเรื่องได้ในตัวเอง  กราฟด้านบนกำลังส่งสัญญาณเชิงเทคนิคที่น่าสนใจ โดยแสดงให้เห็นว่าราคาซิลเวอร์กำลังสร้างรูปแบบ “ถ้วยพร้อมหูจับ” ซึ่งมักเป็นสัญญาณขาขึ้นก่อนการเบรกทะลุครั้งใหญ่  […]

article-thumbnail

2025-06-06 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ความกลัวการตกงานเพราะ AI พุ่งสูง: นักลงทุนควรรับมืออย่างไร? 

ตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มเป็นนักลงทุนหรือเรียนรู้ทักษะการเทรด เพราะเมื่อ AI เริ่มเข้ามาแทนที่แรงงาน คุณจะต้องมีทักษะในการสร้างรายได้ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่แค่เทรนด์เทคโนโลยีสุดล้ำอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อการจ้างงาน และมันกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  คำเตือนล่าสุดเกี่ยวกับการตกงานเพราะ AI เริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวัน  ซีอีโอของ Anthropic กล่าวว่าปัญญาประดิษฐ์อาจเข้ามาแทนที่งานระดับปฏิบัติการในสายออฟฟิศมากถึงครึ่งหนึ่ง และ อาจทำให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึง 10 ถึง 20% ภายในเวลาเพียงง 5 ปี  นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแบบปกติ แต่มันคือคลื่นเศรษฐกิจที่กำลังสั่นสะเทือนวงการแรงงาน แล้วนักลงทุนควรรับมืออย่างไร?  วิกฤตแรงงานจาก AI ไม่รอใคร  การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงสมาร์ทโฟน นวัตกรรมล้วนเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเราอยู่เสมอ แต่สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือ “ความเร็วในการเปลี่ยนแปลง”  AI ไม่ได้แค่ทำงานแทนมนุษย์ แต่มัน “เรียนรู้” ปรับตัว และขยายขีดความสามารถได้อย่างไม่มีวันเหนื่อยล้า และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริงต่อแรงงานจำนวนมากในตลาด  ดร. เดวิด แดงค์ กล่าวตรงไปตรงมาว่า “หากภาคเศรษฐกิจทั้งระบบล่มสลาย คุณจะเห็นอัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียงสองเดือน นี่ไม่ใช่สิ่งที่โลกเคยเผชิญมาก่อน และเราจะไม่มีเวลาพอในการปรับตัว”  อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้วในตอนนี้ ได้แก่ งานบริการลูกค้า งานป้อนข้อมูล งานด้านกฎหมาย การวิเคราะห์การเงิน สื่อ […]

article-thumbnail

2025-05-29 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทรัมป์กำลังทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตกต่ำโดยตั้งใจหรือไม่? 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางการเงินระดับโลก อาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่มูลค่าของมันถูกลดทอนอย่างมีกลยุทธ์จากภายใน  และคนที่อยู่ศูนย์กลางของเรื่องนี้ก็คือ? โดนัลด์ ทรัมป์  ในขณะที่ทรัมป์เดินหน้าวางแผนสำหรับอีกสี่ปีข้างหน้า มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ว่าเขาอาจกำลังกดดันธนาคารกลางสหรัฐให้ลดค่าเงินดอลลาร์อย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่ในเชิงเศรษฐกิจ แต่เป็นอาวุธทางการเมืองด้วย  ดังนั้น ทรัมป์กำลังทำให้ดอลลาร์สหรัฐร่วงโดยตั้งใจจริงหรือไม่? มาดูหลักฐานกัน  ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ช่วยแก้ปัญหาหลายอย่างให้ทรัมป์ได้  การลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลงประมาณ 25–30% ภายในสองสามปีข้างหน้า อาจฟังดูรุนแรง แต่ก็อาจเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการโดยตรง  เหตุผลมีดังนี้:  พูดง่ายๆ คือ การทำให้ดอลลาร์อ่อนลงสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจในคราวเดียวกัน  ตลาดเริ่มสะท้อนสิ่งนี้แล้วหรือยัง?  พฤติกรรมของตลาดในปี 2025 สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างน่าสนใจ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับราคาต่ำสุดที่ผ่านมา:  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สะท้อนถึงการกำหนดมูลค่าทรัพย์สินใหม่ภายใต้ยุคใหม่ของ “การลดค่าเงิน”  และยุคนั้นกำลังถูกขับเคลื่อนอย่างเงียบๆ โดยประเทศเศรษฐกิจมหาอำนาจทั่วโลก  วัฏจักรหลายปีของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ  กราฟนี้แสดงให้เห็นว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีรูปแบบวัฏจักรซ้ำทุกๆ 10 ปี โดยแต่ละรอบมักจบลงด้วยการกลับตัวอย่างรุนแรง และในวันนี้ DXY กำลังเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของการอ่อนค่าครั้งใหญ่รอบใหม่  ผลที่ตามมา? มีโอกาสที่ดอลลาร์จะอ่อนค่าต่อไป โดยเฉพาะหากนโยบายกดค่าเงินของทรัมป์เริ่มเป็นรูปธรรม และธนาคารกลางสหรัฐฯ ถูกกดดันทางการเมืองให้ลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเดินหน้าเต็มสูบ  ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้นที่กำลังลดค่าเงินของตนเอง ยูโรโซน จีน และญี่ปุ่น ต่างก็ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน […]